บ้านบาตรเมื่อภูมิปัญญากลายเป็นสินค้า

ความเป็นมาของชุมชนบ้านบาตรจากอดีตสู่ปัจจุบัน
บ้านบาตร เป็นชุมชนเก่าแก่ในเกาะรัตนโกสินทร์
เป็นชุมชนแห่งแรกและแห่งเดียวที่ยังคงยึดอาชีพทำบาตรพระด้วยมือ ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกเมรุปูน
ซอยบ้านบาตร ถนนบำรุงเมืองและถนนบริพัตร ไม่ไกลจากวัดสระเกศ
บ้านบาตร ตั้งขึ้นในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานที่แน่ชัด
ปัจจุบันมีการผลิตบาตรบุน้อยลงมากและจำกัดอยู่เพียงจำหน่ายเป็นของที่ระลึกหรือรับสั่งทำจากพระสงฆ์โดยตรงเท่านั้น ปัจจัยหลักที่ทำให้หัตถกรรมบาตรบุลดน้อยถอยลงเป็นลำดับ เนื่องจากมี “บาตรปั๊ม”เข้ามาแทนที่เมื่อราว ๓๐ ปีที่ผ่านมาและมีส่วนแบ่งการตลาดเป็นส่วนใหญ่ บาตรปั๊มซึ่งมีกำลังการผลิตสูงราคาขายส่งถูก จึงเป็นที่ต้องการของพ่อค้าคนกลางประมาณกันว่า ชุมชนมีอายุยาวนานกว่าสองร้อยปี





อุตสาหกรรมบาตรปั๊มและผลกระทบจากปัจจัยภายนอก

ผลกระทบจากอุตสาหกรรมบาตรปั๊ม
เมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๔
มีการก่อตั้งโรงงานผลิตบาตรปั๊มขึ้นส่งผลให้กิจการทำบาตรพระที่บ้านบาตรเลือนหายไป
ทำให้การทำบาตรมือแบบที่ชาวบ้านบาตรทำมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษ ประสบปัญหาเรื่องยอดขาย
เพราะโรงงานผลิตบาตรปั๊มสามารถตีตลาดการขายบาตรพระด้วยวิธีการใช้วัสดุที่ถูกและกดราคาให้ถูกกว่าการทำบาตรด้วยมือได้สำเร็จชาวบ้านบาตรคิดจะละทิ้งอาชีพการทำบาตรแต่ด้วยความที่มุ่งมั่นที่จะอนุรักษ์สิ่งทำมีมาตั้งแต่บรรพบุรุษชาวบ้านบาตรจึงได้หาวิธีที่จะแข่งขันกับโรงงานที่ผลิตบาตรปั๊มเพื่อสร้างให้อาชีพนี้ยังอยู่คงต่อไปชาวบ้านได้ปรับกลยุทธ์เป็นการทำบาตรที่เจาะกลุ่มลูกค้าเฉพาะมากขึ้น จากเดิมก็เป็นลูกค้าทั่วไปเปลี่ยนเป็นเจาะเฉพาะกลุ่มพระสงฆ์ในสายธรรมยุติ เพราะพระสงฆ์ต้องการบาตรพระที่ต้องเอาไปบ่มต่อและเลือกที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้ามากขึ้นซึ่งจะแตกต่างจากบาตรพระตามท้องตลาดอย่างแน่นอนและยังเพิ่มเรื่องของวัสดุให้มีคุณภาพที่ดีที่สุดในการทำบาตรโดยเลือกวัสดุที่มีความหนามากกว่าทำให้เวลาที่พระเอามาบ่มจึงทนความร้อนได้ ๑๐ – ๑๒ ชั่วโมง ซึ่งแสดงถึงความหนาของเหล็กและมีคุณภาพเป็นอย่างดีจึงทำให้อายุการใช้งานของบาตรพระอยู่ได้นาน แถมยังคงเน้นความละเอียดความพิถีพิถันในการทำแต่ละขั้นตอน คงรูปทรงที่สืบทอดภูมิปัญญามาแต่โบราณเพื่อไม่ให้คนรุ่นใหม่ลืมการทำงานแบบเดิมอีกด้วยจนถึงวันนี้ชุมชนบ้านบาตรไม่สามารถแข่งขันด้วยการ"ขายส่ง"บาตรพระได้อีกแล้วชาวบ้านจึงรวมตัวกันตั้งกลุ่มอนุรักษ์ขึ้นแทน เพื่อสืบทอดและเผยแพร่วิธีการทำบาตรโบราณนี้โดยเจาะกลุ่มผู้ที่ต้องการหาซื้อบาตรเป็นของที่ระลึก หรือต้องการบาตรแบบประณีตพิเศษ
(โดยไม่เกี่ยงราคา) เท่านั้น

ผลกระทบจากปัจจัยภายนอกอื่นๆ
๑). การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมทางสังคม
ในปัจจุบันมีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น
จากความสัมพันธ์ในอดีตมีลักษณะเป็นครอบครัวขยายแปรเปลี่ยนเป็นครอบครัวเดี่ยว
มีการแข่งขันทางเศรษฐกิจ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจนำมาซึ่งความเหินห่าง
นี้เป็นปัญหาที่ชุมชนชาวบ้านบาตรกำลังเผชิญอยู่
การศึกษาต่างๆทำให้เกิดการแบ่งงานกันทำอย่างชัดเจนตามความรู้ซึ่งเด็กรุ่นใหม่ให้ความสนใจกับการทำงานในระบบอุตสาหกรรมมากกว่าการสืบทอดการทำบาตร
๒). การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
ท่ามกลางสภาวะทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป ทำให้บ้านบาตรต้องเจอกับปัญหาทั้งเรื่องของต้นทุน
คนซื้อที่ลดลง ช่างฝีมือที่จะสืบต่อลดลงทุกวัน การทำบาตรพระแต่ละครั้งลงทุนถึง ๑๕๐๐ บาทต่อ ๑ใบ
ซึ่งราคานี้รวมทั้งค่าวัสดุในการทำและส่วนที่เหลือจะเป็นค่าแรงงานของช่าง ซึ่งก็ถือว่าการลงทุนต่อ ๑ ใบราคาค่อนข้างสูงและการขายบาตรพระส่วนใหญ่จะขายได้แต่ลูกค้าประจำ
มีช่วงที่ขายได้บ้างไม่ได้บ้างสลับกันไปและยังมีเรื่องของการขาดคนงานที่ตอนนี้หลงเหลืออยู่ไม่กี่คน
และเนื่องด้วยสภาวะทางเศรษฐกิจทำให้รุ่นลูกหลานบางส่วนเลิกทำบาตรและย้ายออกไปทำธุรกิจอย่างอื่นแทน แต่ในปัจจุบันชุมชนมีการปรับตัวให้เข้ากับสภาพสังคมมากขึ้นด้วยการเจาะกลุ่มลูกค้ามากขึ้นจากเดิมก็เป็นลูกค้าทั่วไป เปลี่ยนเป็นเจาะเฉพาะกลุ่มพระสงฆ์ในสายธรรมยุติเพราะพระสงฆ์ต้องการบาตรพระที่ต้องเอาไปบ่มต่อและเลือกที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของลูกค้ามากขึ้นซึ่งจะแตกต่างจากบาตรพระตามท้องตลาดอย่างแน่นอนและด้วยแรงศรัทธาของชาวบ้านที่ร่วมมือร่วมใจกันที่แม้จะเคยล้มก็ช่วยพยุงมือกันลุกขึ้นมาทำให้อาชีพการทำบาตรพระอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ผู้ที่อนุรักษ์ในอาชีพนี้จะต้องทำด้วยใจรักอย่างแท้จริงและศรัทธาในพระพุทธศาสนาด้วยความเคารพในวิชาความรู้ครูบาอาจารย์ตลอดจนเครื่องมือใช้สอยในการยังชีพทุกชิ้นตามแบบแผนขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทยบาตรพระของชาวบ้านบาตรจึงเปี่ยมไปด้วยคุณค่าที่ผสานฝีมือแรงงานและจิตใจไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันการปรับตัวของชุมชนในยุคอุตสาหกรรมบาตรปั้มและแนวความคิดเพื่อการดำรงอยู่อย่างยั่งยืนของชุมชนบ้านบาตร

แม้ว่า “บ้านบาตร” จะเป็นชุมชนเดียวในเมืองไทยที่ยังตีบาตรขาย
แต่เพราะมีบาตรหล่อจากโรงงานอุตสาหกรรมออกมาตีตลาดในราคาถูกกว่า
จึงส่งผลกระทบต่อกลุ่มช่างตีบาตรอย่างมาก เพราะกว่าจะได้บาตรเหล็กลูกหนึ่ง ต้องใช้เวลาตีอย่างน้อย ๒-๓วัน ชิ้นงานทุกชิ้นจึงต้องทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ อาศัยประสบการณ์ในการควบคุมคุณภาพ
ทำให้บาตรเหล็กตีด้วยมือค่อนข้างแพง ราคาประมาณลูกละ ๒๐๐๐ บาทหรือถ้าเป็นบาตรสเตนเลสก็แพงขึ้นมาอีกเท่าตัว ตลาดบาตรพระจึงไม่ได้คึกคักอย่างสมัยก่อนแต่ยังคงมีออร์เดอร์เข้ามาเรื่อยๆ โดยเฉพาะช่วงก่อนเข้าพรรษา ซึ่งคนไทยนิยมบวชกุลบุตรกันมากรายได้ส่วนหนึ่งจากการทำบาตรขาย จึงมาจากการส่งเสริมการท่องเที่ยวในชุมชนบ้านบาตรด้วยจากชุมชนช่างศิลป์โบราณ ก็ถึงคราวต้องปรับตัวมาสู่ยุคแห่งการท่องเที่ยวนำฝีไม้ลายมือและเสน่ห์ของชิ้นงานออกมาอวดให้เหล่านักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้ชื่นชมเปลี่ยนเป็นชุมชนที่เปิดกว้างให้เหล่าคนแปลกหน้าอย่างเราๆ เข้าไปเยี่ยมเยียน เดินเข้าตรอกออกซอยสอบถามความรู้จากคุณลุงคุณป้าได้ทุกหลังคาเรือน เพราะทุกคนเต็มใจที่จะเผยแพร่

ความพิเศษของชุมชนบ้านบาตรและบาตรบุ

-การเปลี่ยนภูมิปัญญาเป็นสินค้า
ในปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ได้เกิดโรงงานผลิตบาตรพระขึ้นมา ทำให้การผลิตบาตรพระในชุมชน ลดน้อยลงไป
จนต่อมามีพระมาสั่งทำ เพราะขั้นตอนการผลิต
และรูปทรงของบาตรพระในชุมชนบ้านบาตรเป็นไปตามแบบพระธรรมวินัยทุกอย่าง
จึงรับทำบ้างแต่ก็ไม่มากเหมือนเมื่อตอนก่อนสร้างโรงงาน ปัจจุบันนี้ก็กลับมาทำเหมือนเดิมแล้ว แต่เน้นที่งานฝีมืออย่างเดียว ไม่เน้นปริมาณ ซึ่งเมื่อตอนเคาะที่บาตร
เสียงของบาตรพระที่ทำมือจะดังกังวานกว่าบาตรพระที่ทำจากโรงงานก็ถือเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของบาตรทำมือ

คุณลุงอมร ช่างเชื่อมบาตรประจำชุมชนบ้านบาตร กรุงเทพ

แม้ในวันนี้การทำบาตรของชุมชนบ้านบาตรอาจยังดูทรงตัว ค่อยเป็นค่อยไป
รอวันที่จะหยุดหรือเดินต่อไปอย่างช้าๆ ซึ่งคงไม่มีใครล่วงรู้อนาคตได้
แต่ก็ยังน่าดีใจที่มีนักออกแบบรุ่นใหม่ให้ความสนใจ โดยนำรูปแบบใหม่ๆมาผสมผสานกับการทำงานยุคเก่า


 จึงกลายเป็นที่มาของผลงานออกแบบชุดภาชนะ “กลีบบัว” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจาก “บาตรบุ”
โดยเปลี่ยนแปลงการทำบาตรบุมาเป็นการทำภาชนะเครื่องใช้ตกแต่งบ้าน นับเป็นทางออกหนึ่งที่น่าสนใจท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นการ ต่อยอดทางการตลาดทำให้คนในชุมชนได้ทำงานรูปแบบใหม่ๆ โดยที่ขั้นตอนและการทำงานยังเป็นแบบดั้งเดิม
สองนักออกแบบรุ่นใหม่ คือ คุณเฉลิมเกียรติ สมดุลยาวาทย์ และคุณกวิสรา อนันต์ศฤงคาร
ได้รับรางวัลชนะเลิศประเภทบุคคลทั่วไป จากโครงการ Innovative Craft Awards 2017
โดยสนับสนุนโดยศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (SACICT) ทั้งคู่เล่าให้ฟังว่า
“เริ่มจากมองหาชุมชนที่ทำงานหัตถกรรมที่อยู่ใกล้ๆตัว จนได้มาพบกับ ชุมชนบ้านบาตรแห่งนี้
ซึ่งมีเรื่องราวน่าสนใจมาก เพราะเป็นชุมชนเดียวในกรุงเทพฯ ที่ยังทำงานหัตถกรรมอยู่
ทั้งยังแฝงด้วยจหลักพระพุทธศาสนาในทุกขั้นตอนการทำ
สำหรับการทำงานแรกๆก็มีติดขัดบ้างในเรื่องความคิดของช่างที่ยังคงชินกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ตลอดเวลา
จนมีการพูดคุยกันมากขึ้น ลองทำลองผิดลองถูกอยู่พอควร จนในที่สุดผลงานก็เป็นที่ยอมรับจาก
เวทีประกวดระดับประเทศและนานาชาติ แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ภูมิใจที่สุดคือการได้ช่วยให้

คนในชุมชนบ้านบาตรได้มีงานในรูปแบบที่แตกต่างมากขึ้น และดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่เป็นอยู่
เพราะเราไม่อยากเห็นชุมชนที่มีฝีมือและมีประวัติศาสตร์ยาวนานต้องหายไป”
การเปลี่ยนแปลงเป็นสัจธรรมของชีวิต ขึ้นอยู่กับว่าจะยอมรับการเปลี่ยนแปลงนั้นหรือไม่
ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงก็ไม่ได้ทำให้อะไรๆเปลี่ยนไปทั้งหมด
แค่เพียงแค่รู้จักและเข้าใจผสมผสานข้อดีของเทคโนโลยีสมัยใหม่กับภูมิปัญญาดั้งเดิม
เชื่อว่าชุมชนบ้านบาตรจะคงอยู่คู่กับสังคมไทยต่อไปได้



แนวโน้มการปรับตัวของชุมชนในอนาคตเพื่อความยั่งยืน


-การปรับตัวเป็นศูนย์การเรียนรู้ภูมิปัญญาการทำบาตร
แม้ชุมชนบ้านบาตรในวันนี้จะเหลือการทำบาตรเพียงไม่กี่ครอบครัวเท่านั้น
แต่เสียงจากการตีบาตรด้วยมือก็ยังคงดังก้องไปทั่วชุมชนตราบที่ยังมีผู้สืบทอดต่อ
ซึ่งโจทย์ใหญ่ของพวกเขาในวันนี้คือทำอย่างไรที่จะส่งต่อภูมิปัญญาการทำบาตรไปถึงผู้คนที่สนใจเพื่อรักษา
วัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ให้
สูญหาย และคำตอบที่ได้ก็คือ ใช้การท่องเที่ยวเป็นตัวผสานวิถีชีวิตการทำบาตรกับคนต่างถิ่นไว้ด้วยกัน
ด้วยเหตุนี้จึงเกิด‘จิตอาสาชุมชนบ้านบาตรขึ้น
"เราเป็นตัวแทนชุมชนคอยอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว ใครต้องการข้อมูลเราก็พยายามช่วยเหลือ
หรือนักท่องเที่ยวอยากลองทำบาตรเราก็ให้ลองทำจริงๆ เมื่อเข้ามาแล้วอยากให้มีความสุข
อยากให้กลับไปแล้วกลับมาเยือนชุมชนเราอีก และเกิดความประทับใจ" สรินยา สุทดิศ
สายเลือดชาวบ้านบาตร กล่าว

-แหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม
การท่องเที่ยวชุมชนต้องเป็นการเข้ามาศึกษาอย่างท่องแท้
ชุมชนอยู่ได้ด้วยตนเองมีวิถีแบบธรรมชาติ ต้องไม่ใช่ภาพแบบสวนสนุกที่มีกฎระเบียบ
ชาวบ้านต้องมีชีวิตตามแบบฉบับของตนเอง ชุมชนบ้านบาตรจึงไม่คิดที่จะสร้างกฎเกณฑ์ใดๆ
ผู้ประกอบการควรเรียนรู้ทุกอย่างของชุมชน มีขอบเขตในการพานักท่องเที่ยวเข้ามา




กฤษณา แสงไชย คุณป้าชาวบ้านบาตรที่เติบโตมาในชุมชนประกอบอาชีพทำบาตรด้วยมือต่อจากบิดา เล่าให้ฟังถึงการเปลี่ยนแปลงในยุคสมัยที่เปลี่ยนไปว่าเมื่อเทคโนโลยีเข้ามาจึงโดนบาตรปั๊มที่ทำจากเครื่องจักรซึ่งราคาถูกกว่าแย่งลูกค้าไปทำให้จำนวนชาวบ้านที่ทำบาตรลดลงอย่าง
น่าใจหาย ครั้นพอมีผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวเข้ามาส่วนใหญ่ก็มาเอาต้นทุนของชุมชนไปหาประโยชน์โดยไม่คิดที่จะช่วยส่งเสริม“เราไม่ต้องการผู้ประกอบการที่เอาเปรียบ เอาความเป็นอยู่วิถีชีวิตของพวกเรามาเป็นจุดขายหากผู้ประกอบการพานักท่องเที่ยวเข้ามา อยากให้ช่วยส่งเสริมชุมชนด้วย
ช่วยซื้อสินค้าของเราเป็นการพึ่งพาอาศัยกัน ไม่ใช่เข้ามาหาผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว”
ดังนั้นผู้ประกอบการต้องช่วยกันรณรงค์ในเรื่องเหล่านี้ ศานนท์ หวังสร้างบุญผู้ประกอบการท่องเที่ยวชุมชนรุ่นใหม่ มองว่าเมื่อก่อนจะเป็นนักธุรกิจต่างชาติที่เข้ามาลงทุนหาผลประโยชน์ในแบบนักธุรกิจ ทัวร์จักรยานทัวร์ที่หาผลประโยชน์จากต้นทุนทางสังคม อย่างเช่นบ้านบาตรเขาเล็งเห็นลักษณะการท่องเที่ยวในรูปแบบนี้ก่อนคนไทย เป็นการใช้ต้นทุนของชุมชนแปรเป็นกำไรซึ่งสักวันหนึ่งต้นทุนเหล่านี้ก็หมดไปหากไม่ทดแทนในฐานะผู้ประกอบที่ใช้การท่องเที่ยวชุมชนเป็นจุดขาย เขายึดหลักการดำเนินธุรกิจแบบเกื้อกูลเป็นการศึกษาสิ่งที่อยู่รอบตัวว่ามีอะไร สามารถช่วยเหลือชุมชนได้อย่างไร

เพื่อให้ธุรกิจของตนเติบโตไปพร้อมๆ กับชุมชนเราต้องหาวิธีทำให้สินค้าของชุมชนขายได้ด้วยตนเอง
การท่อง เที่ยวเป็นการเสริมให้ขายดียิ่งขึ้น เป็นอีกหนึ่งแรงในการเผยแพร่ออกไป" กฤษณา
กล่าวด้วยความมุ่งมั่น
โดยทั่วไปโปรแกรมท่องเที่ยวมักถูกวางรูปแบบไว้ตายตัวตามที่ลูกค้าต้องการ
แต่ผู้ประกอบการควรมองมุมกลับว่าอยากเห็นนักท่องเที่ยวแบบไหน
อยากจะมอบอะไรแล้วสร้างเมนูนั้นให้เขา สร้างตัวเลือกที่ดีงามไม่เอาเปรียบชุมชน
และควรช่วยกันรักษาต้นทุนเอาไว้
เพื่อตอบแทนชุมชนที่ให้ต้นทุนที่ดีและช่วยให้ต้นทุนนี้ยังคงสืบเนื่องต่อไปได้เรื่อยๆ
ด้านตัวนักท่องเที่ยวเองเมื่อเข้าไปในชุมชนควรให้ความเคารพสถานที่ ไม่ทำลาย
หรือก่อความวุ่นวายรบกวนการใช้ชีวิตของชาวบ้าน ไม่ใช่เพียงแค่เข้าไปแวะผ่านว่าชุมชนนี้มีอะไร
แต่ต้องเข้าไปคลุกคลีจนเกิดการเรียนรู้สูงสุด กลับออกไปนำสิ่งที่พบเจอเผยแพร่
หรือแนะนำชุมชนในส่วนที่บกพร่องเพื่อให้มีการจัดการที่ดีขึ้น
เกิดการสื่อสารโต้ตอบกันระหว่างนักท่องเที่ยวและชุมชน
ครั้งต่อไปกลุ่มใหม่ที่มาเยือนจะได้ประทับใจยิ่งขึ้น
ชุมชนบ้านบาตรนับเป็นอีกตัวอย่างของการท่องเที่ยวชุมชนที่มีการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยและ
เทรนด์การเที่ยวรูปแบบใหม่ หากมองด้วยตาชุมชนบ้านบาตรนี้ถูกเคลือบไว้ด้วยวัฒนธรรมอันดีงาม
แต่แท้จริงแล้ววิถีชีวิตดั้งเดิมนี้กำลังจะเลือนหายไป
ทั้งจากการลดลงของคนทำบาตรและการเข้ามาอย่างฉาบฉวยของนักท่องเที่ยว
คนรุ่นใหม่จึงเป็นพลังสำคัญในการต่อลมหายใจภูมิปัญญาที่มีมาแต่ครั้งอดีตให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม ชุมชนบ้านบาตรก็ยังสามารถคงอยู่ได้อย่างแข็งแรงในปัจจุบัน
นั้นเพราะการรู้ถึงเป้าหมายที่ตนเองจะทำและจับจุดได้ว่าพวกเขามีกลุ่มเป้าหมายหลักคือใคร
ในยุคปัจจุบันที่อุตสาหกรรมบาตรปั๊มก้าวหน้าขึ้นมาก
เครื่องจักรที่ทันสมัยขึ้นประกอบกับแรงงานจำนวนมาก ทำให้ผลิตสินค้าได้ในจำนวนที่เยอะ
เร็วและถูกกว่าบาตรบุจากชาวบ้าน
แต่นี้กลับกลายเป็นเรื่องที่พลิกมาเป็นโอกาสให้กับชาวบ้านที่จะขายความแตกต่างของบาตรที่พวกเขาทำ
ว่าบาตรของพวกเขาไม่ใช่แค่บาตรที่ถูกปั๊มขึ้นมาจากเครื่องจักร
แต่เป็นบาตรที่มีการนำฝีมือและเสน่ห์ของบาตรบุออกมาแสดงให้เหล่านักท่องเที่ยวและผู้สนใจได้ชื่นชม
ถึงแม้จะมีราคาแพงกว่า
แต่ก็ถือเป็นเรื่องที่รับได้เมื่อเทียบกับศิลปะความปราณีตที่ไม่สามารถหาได้จากบาตรปั๊มทั่วไป
ซึ่งนี่ก็ถือเป็นข้อแตกต่างระหว่างบาตรบุและบาตรปั๊มที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี
เช่นบาตรขนาดเล็ก ซึ่งขายเป็นของที่ระลึก บางชิ้นโชว์เนื้อเหล็ก
มองเห็นเนื้อทองแดงประสานรอยต่อชัดเจน แต่บางชิ้นก็รมดำเขียนลายไทยสีทองแต่งแต้มอย่างสวยงาม

นอกจากนี้ชาวบ้านยังเปิดกว้างชุมชนให้เป็นแหล่งเรียนรู้ให้นักท่องเที่ยวและผู้ที่สนใจสามารถเข้ามาชมภูมิ
ปัญญาการทำบาตรของพวกเขาได้ จึงทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นจุดขายที่สร้างชื่อเสียงและรายได้
ทำให้พวกเขายังคงได้รับความสนใจจนถึงปัจจุบัน




วิธีการเดินทางไปยังชุมชนบ้านบาตร

ผู้จัดทำ
นายพงศภัค สมศักดิ์รักสันติ ๖๐๑๑๓๐๒๗๑๘
นายธีร์วศิน ศรีเกษมปรวัฒน์ ๖๐๑๑๓๐๒๖๓๗
นางสาวลฎาภา สุดเสนาะ ๖๐๑๑๓๐๒๘๒๓
นางสาวปิยะพร ภู่ศรีจันทร์ ๖๐๑๑๓๐๐๑๙๗
นางสาวศศิญา พิงคานนท์ ๖๐๑๑๓๐๐๒๖๐
นางสาวปิยนุช เอี่ยมชื่น ๖๐๑๑๓๐๐๓๒๔
นางสาวชนัญญา จันฤาไชย ๖๐๑๑๓๐๒๕๐๕
นางสาวพิราภรณ์ กรกาญจนวุฒิ ๖๐๑๑๓๐๒๗๗๗
นางสาวศศิธร คำแก้ว ๖๐๑๑๓๐๒๘๔๐

Comments